วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ธรรมชาติแอสเพอร์เกอร์

ธรรมชาติของเด็กแอสเพอร์เกอร์ (ที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป)

เด็กแอสเพอร์เกอร์มีธรรมชาติที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป โดยอาจมีอาการต่างๆ กันหลายแบบ หรือรวมกันได้ (ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ) ดังนี้

Hyperactive (ไฮเปอร์แอคทีฟ - อาการซุกซน ไม่อยู่นิ่ง พลังมากกว่าเด็กปกติ)
มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กแอสเพอร์เกอร์เข้าสังคม หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ โดยเด็กแอสเพอร์เกอร์มักจะมีอาการไม่สามารถอยู่นิ่งได้ เนื่องจากมีความตื่นเต้น กังวล ทำให้หลายครั้งอาจถูกวินิจฉัยว่าเป็น “สมาธิสั้น”
แนวทางช่วยเหลือ
การแนะนำสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่คน สถานที่ ฯลฯ (Orientation) ในสิ่งแวดล้อมใหม่ทุกครั้งมีความจำเป็นกับเด็กแอสเพอร์เกอร์ และจำเป็นต้องให้โอกาสในช่วงแรกเพื่อการปรับตัว

Language Disorder (อาการบกพร่องในทักษะที่ซับซ้อนทางภาษา)
เด็กแอสเพอร์เกอร์
มีความสามารถในการเรียนรู้ และใช้คำศัพท์ การออกเสียง และหลักไวยาการณ์ได้ตามปกติ แต่มีปัญหาในเรื่องการเลือกใช้บทสนทนา อาจมีการใช้ภาษาที่สูงเกินกว่าระดับปกติ เช่น ใช้ภาษาของผู้ใหญ่ในการพูดกับเพื่อน หลายครั้งพบว่า เด็กแอสเพอร์เกอร์ชอบพูดเสียงที่มีโทน และจังหวะการพูดที่แปลกกว่าเด็กทั่วไป
เด็กแอสเพอร์เกอร์ มีความบกพร่องในการแปลความหมายของบทคู่สนทนา การแปลความหมายคำพูดแบบตรงไปตรงมา เช่น การไม่เข้าใจความหมายของประโยคการประชดประชัน คำเสียดสี ฯลฯ
แนวทางช่วยเหลือ
ฝึกฝนการใช้ภาษาที่ถูกต้อง อาจจำเป็นต้องให้พูดตาม หรือพูดซ้ำเพื่อฝึกการใช้ภาษาถูกต้องมากขึ้น โดยผู้สอน ไม่ว่าครู หรือผู้ปกครองจำเป็นต้องมีความอดทนสูง

Movement Disorder (อาการบกพร่องในการเคลื่อนไหว)
เด็กแอสเพอร์เกอร์ มีพัฒนาการในเรื่องการประสานการทำงานของอวัยวะ หรือความคล่องแคล่วในการใช้มือช้ากว่าปกติเล็กน้อย เช่น ผูกเชือกรองเท้าไม่ได้ ขี่จักรยานไม่ได้ จับลูกบอลไม่แม่น ลายมือไม่สวย มีการเดิน-วิ่งที่ไม่สมบูรณ์
เด็กแอสเพอร์เกอร์บางคนพบว่ามีปัญหาเชื่อมกับการเคลื่อนไหว (Motor tics) เช่น การขยิบตา-กระพริบตาบ่อย ฯลฯ และบางคนพบในการพูด (Vocal tics) อาจมีกการพูดบางอย่างออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แนวทางช่วยเหลือ
ฝึกฝนการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อที่ประสานกัน เช่น การโยน-รับลูกบอลหรือการช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

Mood Disorder (ความวุ่นวายทางอารมณ์)
เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่ปกติ ทำให้เด็กแอสเพอร์เกอร์มีความเครียด ความกังวล เด็กแอสเพอร์เกอร์จะมีการแสดงออกแบ่งเป็นสองลักษณะ คือ
1. อาการตื่นตัวตลอด วิตกกังวล ทำให้เด็กแอสเพอร์เกอร์อาจจะเหนื่อยเกินไป
2. หรือกังวลมากไปจนไม่ยอมไปโรงเรียน อาการเงียบ ไม่พูดที่โรงเรียน
ซึ่งในความคิด อาจมีแนวคิดเป็นสองแบบคือ
1. Internalized (I’m stupid) อาการซึมเศร้า ตำหนิตัวเองถึงความแตกต่าง
2. Externalized (It’s your fault) บางคนตำหนิคนอื่น แสดงออกมาเป็นการโกรธคนรอบข้าง เมื่อตัวเองไม่สามารถเข้าใจในสถานการณ์นั้น
แนวทางช่วยเหลือ
การจำลองสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ให้ฝึก ก่อนเจอเหตุการณ์จริง อาจลดความกังวลได้

Eating Disorder (การควบคุมการรับประทานไม่ได้)
เด็กอาจมีการปฏิเสธอาหารบางอย่าง เนื่องจากมีรส กลิ่น รูปร่างพิเศษ เนื่องจากเด็กมีความไวต่อประสาทสัมผัสบางอย่างมากกว่าปกติ หรือในทางกลับกัน เด็กอาจชอบทานอาหารบางอย่างมากเป็นพิเศษ บางรายมาด้วยอาการซูบผอม เนื่องจากเลือกกินมากเกินไป
แนวทางช่วยเหลือ
สังเกตพฤติกรรมการรับประทานอาหารว่ามีความผิดปกติ เช่นการเลี่ยง หรือการรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งเกินปกติหรือไม่

Non-Verbal Learning Disability (เด็กมีความไม่เข้าใจในภาษาท่าทาง)
เด็กแอสเพอร์เกอร์มีความเข้าใจในภาษาพูดได้ตามปกติ แต่มักไม่เข้าใจภาษาท่าทาง เช่น ถ้าคนทำหน้าบึ้งใส่ เด็กจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าพูดว่าโกรธจึงจะเข้าใจ การกวักมือเรียกอย่างเดียวเด็กอาจไม่เข้าใจจำเป็นต้องเรียก และบอกให้มาหา
แนวทางช่วยเหลือ
จำเป็นต้องสอนให้เด็กเข้าใจถึงภาษาท่าทาง และการอ่านสีหน้าของคน เช่นการให้วาดรูปสีหน้าคนทำอารมณ์ต่างๆ การให้ทายลักษณะท่าทางกับความหมาย

เด็กแอสเพอร์เกอร์จะสบตาคนไม่เป็น โดยเฉพาะในการพูดคุย เด็กแอสเพอร์เกอร์จะไม่สบตาคนที่คุยด้วย อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เด็กไม่สนใจ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ดื้อ และพูดไม่รู้เรื่อง
แนวทางช่วยเหลือ
จำเป็นต้องใช้เสียงเรียกให้สบตาขณะพูดคุยด้วย และเรียกให้สนใจฟังถึงสิ่งที่พูดหรือออกคำสั่ง อาจต้องเน้นย้ำว่าเข้าใจหรือไม่ และเข้าใจว่าอย่างไรและตรงกับสิ่งที่ผู้ที่สั่ง หรือสื่อสารต้องการหรือไม่

Conduct or Personality Disorder (ความประพฤติ หรือ บุคลิกที่ผิดปกติ)
เด็กแอสเพอร์เกอร์ ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เมื่ออยู่กับเพื่อนวัยเดียวกัน (จะชัดเจนมากขึ้นในกรณีเด็กแอสเพอร์เกอร์ไอคิวสูง) โดยอาจทำตัวเป็นผู้ช่วยคุณครู เป็นผู้ควบคุมกฎ คอยคุมความประพฤติของเพื่อนๆ หรืออาจไปถึงทำตัวข่มเพื่อนๆ ทั้งการใช้กำลัง และไม่ใช้กำลัง
แนวทางช่วยเหลือ
ไม่ควรส่งเสริมพฤติกรรมนี้ เพราะยิ่งจะส่งเสริมความแตกต่างจากเพื่อน และการไม่อยู่ในกฏระเบียบมากขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้การอธิบายยกตัวอย่าง ยกเหตุผลให้เข้าใจ และไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้

เด็กแอสเพอร์เกอร์ไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด บกพร่อง ไม่ชอบถูกวิจารณ์ หรือถูกแนะนำ หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การไม่เป็นที่ยอมรับ การที่แตกต่างจากเพื่อน ซึ่งอาจส่งผลให้มีพฤติกรรมตอบสนอง เช่น การโกหก แสดงอาการโกรธ แสดงอาการก้าวร้าว อาการโทษว่าเป็นความผิดคนอื่นได้
แนวทางช่วยเหลือ
หากเด็กแอสเพอร์เกอร์ทำผิด การวิจารณ์ตรงๆ หรือการว่ากล่าวโดยตรงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะไปเพิ่มความโกรธ อาการไม่ยอมรับความผิด ควรใช้วิธีการพูดคุย และถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงยืนยันในเหตุผลนั้นๆ และพูดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ที่เป็นไปได้นอกเหนือจากที่ตัวเด็กแอสเพอร์เกอร์เข้าใจ เช่น การให้เขายอมรับว่าการสอน การวิจารณ์เป็นสิ่งที่จะทำให้เขาเก่งขึ้น และมีแต่คนที่เป็นห่วง และรักเขาเท่านั้นที่จะสอน จะวิจารณ์ และให้พยายามยอมรับในความรัก และเป็นห่วงนี้
ข้อดีของความหัวรั้น และไม่ยอมผิดสามารถทำให้เป็นด้านดีได้ โดยการให้เขาพัฒนาความมีเหตุผลที่คนอื่นยอมรับ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นอาชีพที่จำเป็นต้องใช้การถกเถียง การแก้ต่าง ในอนาคตได้ เช่น นักพูด ทนายความ ฯลฯ

เด็กแอสเพอร์เกอร์ไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ยอมรับในความไม่เก่ง หรือสู้ไม่ได้ของเขา เป็นหนึ่งในสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจมีพฤติกรรมเช่น
- การเข้าไปอยู่กับเพื่อน หรือโลกในจินตนาการที่เขามีความสำเร็จมากกว่า เด็กแอสเพอร์เกอร์เขาทำไปเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น (การมีเพื่อนหรือโลกจินตนาการไม่เป็นสิ่งปกติในเด็ก แต่จะเริ่มผิดปกติเมื่อโลกจินตนาการมีส่วนในการดำรงชีวิตมากกว่าโลกแห่งความจริง)
- การโทษสิ่งแวดล้อม โทษคนรอบข้าง ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่ชอบ อาจมีอาการโกรธ ก้าวร้าวจนควบคุมตัวเองไม่อยู่
แนวทางช่วยเหลือ
สอนให้เด็กแอสเพอร์เกอร์รู้ว่าไม่จำเป็นต้องเก่ง ต้องทำถูก ต้องชนะเสมอไป เช่นการยอมรับความจริงที่ว่าไม่มีใครทำถูก หรือชนะตั้งแต่ครั้งแรก ต้องแพ้เป็นก่อนถึงจะชนะได้ ฯลฯ
หากเด็กเริ่มมีโลกจินตนาการที่ชัดเจน และเริ่มนำมาใช้บ่อยครั้งขึ้น สามารถนำกลับมาสู่โลกความเป็นจริง เช่น การอ่านหนังสือให้ฟัง การเล่าเรื่องของประเทศต่างๆ ซึ่งจะเสริมให้เด็กมีจินตนาการ และอาจพัฒนาเป็นอาชีพ เช่น นักเขียน นักวาดภาพได้ในอนาคต

เด็กแอสเพอร์เกอร์ มักทำตัวเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง (Self-Centric) เช่น มักพูดถึงตัวเองอยู่เสมอ การไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น (โดยเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน) การถามถึงเหตุผลในกฏต่างๆ ซึ่งอาจทำให้คนรอบข้างคิดว่าเด็กเป็นก้าวร้าว หัวดื้อ
แนวทางช่วยเหลือ
ควรฝึกให้เด็กแอสเพอร์เกอร์เข้าใจถึงกฏระเบียบ และให้ทำพฤติกรรมที่ถูกต้องในการเข้าสังคม การสร้างกฏเกณฑ์ให้ตัวเด็กแอสเพอร์เกอร์มีความสำคัญ มีบทบาทรับผิดชอบในการทำงานที่มีผลกับผู้อื่น และคนอื่นจะได้รับผลกระทบหากไม่กระทำตามกฏนั้นๆ เช่น การสอนเด็กแอสเพอร์เกอร์ให้สนใจในความคิดของคนอื่น การสอนบทสนทนาเบื้องต้นในการเข้าสังคมโดยสนใจเพื่อนๆ

เด็กแอสเพอร์เกอร์ มีความรู้ลึก และสนใจเฉพาะด้าน
หลายคนมีความจำที่มากกว่าเด็กปกติทั่วไป อาจจดจำเรื่องที่สนใจได้อย่างมาก และรู้ลึกรู้จริง แต่เมื่อรวมกับการทำตัวเป็นศูนย์กลาง อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เข้าสังคมลำบาก เนื่องจาก เมื่อคุยกับเพื่อนจะเล่าแต่ความสนใจของตัวเอง จนเพื่อนๆ เบื่อ ไม่ชอบเล่นด้วย
แนวทางช่วยเหลือ
ควรสังเกตพฤติกรรมความสนใจ ว่าสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกินกว่าปกติหรือไม่ และอาจจำเป็นต้องเก็บซ่อนสิ่งที่เริ่มสนใจอย่างหมกมุ่นไปบ้าง และหาสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นมาชดเชย

เด็กแอสเพอร์เกอร์ ควบคุมอารมณ์ไม่เก่ง แสดงสีหน้าไม่เป็น
เด็กแอสเพอร์เกอร์เสแสร้งไม่เป็น มักพูดตรงๆ ซื่อๆ หลายคนมองว่าเป็นเด็กน่ารัก แต่เมื่อเขาโกรธ หรืออยู่ในสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ อาจมีอาการก้าวร้าว พฤติกรรมรุนแรง
แนวทางช่วยเหลือ
ช่วงแรกอาจจำเป็นต้องเลี่ยงสถานการณ์การยั่วยุให้โกรธ ขณะเดียวกันจำเป็นต้องค่อยๆ ปรับพฤติกรรมการควบคุมอารมณ์ เช่น การฝึกให้รู้ตัวว่าอารมณ์เริ่มโกรธ ให้รู้ระดับของความโกรธ และพัฒนาจนให้เขาสามารถจัดการอารมณ์ได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หากสนใจการมอง Aspie ในอีกแง่มุมหนึ่ง จะพบว่าสิ่งที่ระบุว่าเป็นอาการแสดงนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากความบกพร่องของระบบประสาท บวกกับความพยายามชดเชย ปรับตัวของเด็ก

โดยสรุป profile ของ Aspie คือ

1. ความจำทางหูและตาดี จึงพูดได้เร็ว จำแม่น และอ่านได้เร็ว พ่อแม่บางคนเพลินไปกับความเป็น "อัจฉริยะ" และส่งเสริมกันแบบเลยเถิด
2. ไวต่อความรู้สึกมาก โดยเฉพาะเสียง สัมผัส การมอง เขาจึงไม่ชอบสบตา ไม่ชอบคนเสียงดัง กินอยู่ยาก บางครั้งการหลีกหนีคน ซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่แรง หันไปหาของถนัด เช่น อ่านหนังสือ ซึ่งพ่อแม่มักจะชมเชย ทำให้ขาดทักษะทางสังคมเพิ่มเข้าไปอีก ข้อนี้อธิบายเรื่องผิดไม่ได้ แพ้ไม่เป็นด้วย
3.มีปัญหาการสั่งการกล้ามเนื้อ ทำให้แสดงออกด้วยภาษากายไม่ได้ดี ใช้คำพูดมาชดเชย แต่ส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่จำมาจากผู้ใหญ๋ เลยดูเป็นทางการ ยิ่งขาดสังคมกับเด็กด้วยกัน ยิ่งสื่อกับเพื่อนไม่ได้ ปัญหานี้ทำให้เด็กใช้มือทำไม่ได้ หันไปใช้ปากพูดแทน

หากสนใจมุมมองแบบนี้ ลองดูใน www.cf.mahidol.ac.th/floortime

mommew กล่าวว่า...

ขอบคุณที่ให้ข้อมูลดีๆ

Pranee Gityunyong กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ ..สนใจศึกษา และเรียนรู้เรื่องนี้เนื่องจากมีลูกชายเป็นแอสเพอร์เกอร์ค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และลิงค์แนะนำนะคะ:-))

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลทุกด้านครับ